วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ “น้องโม” เจ้าของร้าน และผู้ก่อตั้งร้าน “โอชาซามะ” กันนะคะ
ใครมีอะไรต้องการแนะนำติชม สามารถบอกกับ น้องโม ได้เลยนะคะ
กว่าจะมาเป็นโอชาซามะ
โอชาซามะ เกิดจากความคิดของเด็กโอตาคุคนนึงค่ะ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของร้านทั้งในปัจจุบันและอนาคต ก็มาจากเด็กคนนี้ค่ะ เด็กที่เอาแต่ใจ อยากจะทำร้านนี้ เพื่อให้เป็นการรวมกลุ่มผู้ที่มีความสนใจคล้ายๆกัน ให้ได้มาพบกัน ได้รู้ว่ายังมีคนหนึ่งคนที่ชอบสิ่งเดียวกับคุณอยู่
ด้วยอายุที่น้อยกว่าเจ้าของกิจการหลายๆคน ก็มีอุปสรรคในด้านการคุยงานค่ะ เริ่มแรกเราก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในความคิดตัวเองนัก เพราะคิดว่าตัวเองยังอ่อนด้อยประสบการณ์ แต่พอเวลาผ่านไป เราเริ่มรู้สึกว่า นี่มันต้องเป็นญี่ปุ่นในแบบที่เราต้องการนะ ไม่ใช่ญี่ปุ่นแบบไหน แต่เป็นแบบเราไง ถ้าเราไม่คิด ถ้าเราไม่ตัดสินใจเอง มันก็จะไม่เป็นแบบของเรา แล้วเราจะลงทุนไปเพื่ออะไร
“โอชาซามะ” แปลว่าอะไร
ความจริงแล้วมันไม่มีความหมายตรงตัวหรอกนะคะ ถ้าให้เปรียบเทียบ คงเปรียบเหมือนคำศัพท์วัยรุ่น เอาคำนี้ผสมคำนั้น แล้วก็กลายมาเป็นคำแปลกๆนั่นแหละค่ะ
คำว่า “โอชา” ที่จริงอ่านให้ใกล้เคียงกว่าต้องเป็น โอจะ「お茶」 แปลว่า ชา ก็เพราะเราตั้งใจเน้นความเป็นร้านชามากกว่าที่จะเป็นร้านกาแฟ ส่วนคำว่า ซามะ「様」ก็เอามาจาก คามิซามะ「神様」ที่หมายถึง เทพเจ้า เพราะคาเฟ่ของเราตั้งใจเปิดมาเพื่อรองรับศาลเจ้าญี่ปุ่นด้านในสุดค่ะ
ทำไมต้องเป็นญี่ปุ่น และทำไมต้องศาลเจ้า
เป็นความชอบส่วนบุคคลของเจ้าของร้านค่ะ จะเรียกว่าเป็นโอตาคุก็ได้นะ ตอนเด็กๆเราก็แค่ชอบเกมภาษาญี่ปุ่น เล่นเกมแล้วมันไม่รู้เรื่อง ก็อยากจะเรียน เพื่ออ่านเนื้อเรื่องให้เข้าใจ และฟังเสียงพากย์ให้มันได้อรรถรสที่สุด เริ่มเรียนเป็นวิชาเสริมที่โรงเรียนตั้งแต่มัธยมต้น ไปถึงแค่อ่านตัวอักษรออก ฮิรางานะ คาตาคานะ พออ่านออกก็เข้าใจในที่สุด ว่าเกมชอบถามแล้วมีคำตอบอะไรให้เลือก 「はい」「いいえ」ในที่สุดก็อ่านออก ดีใจมาก แล้วยังอ่านชื่อไอเทมออกอีกต่างหาก เพราะชื่อไอเทมเป็นตัวคาตาคานะ
หลังจากเรียนภาษาญี่ปุ่นได้อยู่ในระดับหนังสือมินนาโนะนิฮงโกะเล่มแรก จนถึงจบเทียบชั้นมัธยมปลาย ก็ได้มีโอกาสไปเรียนภาษาต่อที่ญี่ปุ่นในโตเกียว และ สอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น ผ่านในระดับ N2 หลังจากนั้นก็ได้เรียนต่อได้แค่ปีเดียว ก็เจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ สิ่งต่างๆไม่อำนวยต่อการเรียนต่อ จึงตัดสินใจกลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในไทย อยู่ที่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ทางซ้ายคือ คุณพ่อ และคุณแม่ ทางขวาคือ หลานชาย พี่ชายและพี่สาวค่ะ
ระหว่างนี้ก็ยังมีไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นบ้าง แต่เริ่มรู้ความชอบของตัวเองอีกอย่างหนึ่ง เราชอบศาลเจ้า ด้วยเพราะอนิเมะที่เคยดู แต่ละเรื่องจะเกี่ยวข้องกับศาลเจ้าซะส่วนใหญ่ บางทีก็เป็นพวก โยไค หรือ ภูตผีปิศาจของญี่ปุ่น (อย่างเรื่อง อินุยาฉะ นูระหลานจอมภูต จิ้งจอกเย็นชากับสาวซ่าเทพจำเป็น คุณหนูปากร้ายxจิ้งจอกปิศาจ) แล้วเราก็เริ่มศึกษาและสังเกตอย่างจริงจังมากขึ้น เกิดเป็นการตามล่าหาศาลเจ้าเวลาไปเที่ยว ทั้งที่โตเกียว เกียวโต และซัปโปโร จนเกิดความรู้สึกว่า เราต้องการสิ่งนี้ในประเทศไทย และในแบบของเราเอง
จาก [คาเฟ่] มุ่งหน้าสู่ [ร้านอาหารญี่ปุ่น]
หลายคนที่เคยมาเป็นลูกค้าของร้านตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดร้าน (เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560) น่าจะพอทราบกันดีว่าเราเปิดตัวในฐานะคาเฟ่ค่ะ เน้นที่เค้กและขนมหวาน เพราะพี่ฝ้าย (ลูกพี่ลูกน้อง) ถนัดด้านการทำเค้กค่ะ ทำเค้กอะไรก็อร่อย ส่วนอาหารมีแค่ 3 รายการค่ะ แต่หลังจากเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน พี่ฝ้ายได้ลาออกไปด้วยเหตุผลส่วนตัว ทำให้เราตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางของร้านค่ะ
ด้วยความที่แต่เดิมเราก็ชอบอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว เพราะดีต่อสุขภาพ ไม่ต้องปรุงแต่งรสชาติมากมาย เน้นที่คุณภาพของวัตถุดิบเป็นหลัก เราจึงได้ทยอยเพิ่มเมนูอาหารเข้าไปค่ะ และในปัจจุบัน เมนูที่ขายดีที่สุดของร้าน คือ ข้าวหน้าแซลมอนค่ะ ซึ่งเราใช้แซลมอนสด ส่งจากนอร์เวย์ทุกสัปดาห์ ไม่มีการแช่แข็ง ทำให้เราขายได้เฉพาะวันพฤหัสจนถึงวันอาทิตย์ค่ะ
ต้องการบอกอะไรกับลูกค้ามั้ย?
เรากำลังเพิ่มเมนูนะคะ ตอนนี้ขยายครัวแล้ว เพื่อรองรับการเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว ยังไงก็รบกวนฝากติดตามเพจโอชาซามะด้วยนะคะ ถ้ามีการอัพเดทอะไรก็จะลงเพจเป็นที่แรกเลยค่ะ เพราะเป็นที่เดียวที่สามารถติดต่อกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วที่สุด
ส่วนใครรู้ตัวว่า น่าจะชอบอะไรเหมือนๆกันกับเรา หรือ ต้องการปรึกษาเรื่องการเรียนต่อในญี่ปุ่น แวะมาคุยได้ทุกวันค่ะ อยู่ร้านตลอด หยุดพักผ่อนวันจันทร์ (ร้านหยุดค่ะ) แต่โครงการในอนาคตของร้านยังไม่สามารถบอกได้หมดในตอนนี้ ขอเก็บเป็นความลับก่อนนะคะ ความลับทำให้ผู้หญิงเป็นผู้หญิง โฮะๆๆๆ
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
ภาพจากงานทานาบาตะจากที่ร้านค่ะ 🙂